top of page

ฝ้ากระจุดด่างดำ ถือว่าเป็นตัวทำลายความมั่นใจของทุกคน แม้จะไม่ส่งผลอันตรายต่อสุขภาพ แต่เราก็คงไม่ต้องการให้มันปรากกฏอยู่บนใบหน้าของเราอยู่ดี

เนื่องจากฝ้า (Melasma) คือ ปื้นบนผิวบริเวณหนึ่ง มีความเข้มตั้งแต่สีน้ำตาลไปจนถึงสีดำ ทำให้ผิวดูไม่กระจ่างใส แม้จะสามารถใช้เครื่องสำอางช่วยปกปิดได้ แต่ก็ปกปิดจุดด่างดำได้ไม่หมดอยู่ดี

และ 4 ปัจจัยที่ทำให้เราเกิดฝ้านั้นมีอะไรบ้าง มาดูกันเลยค่ะ


1. แสงแดด และรังสียูวี

ตัวร้ายที่เราควรระวังเมื่ออยู่กับแดดคงไม่พ้นรังสียูวี (UV: Ultraviolet) ที่สามารถทำร้ายผิวหนังได้ อาจทำให้มีลักษณะของ ผิวไหม้แดด หรือ หน้าหมองคล้ำ ด้วยการกระตุ้นเซลล์สร้างเม็ดสีในชั้นผิวหนัง เร่งให้เกิดเป็นฝ้า และในระยะยาวหากไม่ป้องกันแสงแดดจากการทำร้ายผิวแล้วเซลล์ผิวหนังอาจถูกทำร้ายจนพัฒนาเป็นเนื้อร้ายหรือมะเร็งได้


2. อายุวัยที่เพิ่มขึ้น และพันธุกรรม

จากงานวิจัยทางการแพทย์ส่วนใหญ่ พบว่า ฝ้ามักมีโอกาสเกิดขึ้นได้ในกลุ่มคนที่มีอายุ 30-40 ปี และพบได้ในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย และแม้จะเผชิญกับแสงแดดน้อยแต่หากในการผลิตเม็ดสีที่มากเกินไปสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมแล้วทำให้หน้าเป็นฝ้าได้


3. ความไม่สมดุลฮอร์โมน และการทานยาบางชนิด

ความไม่สมดุลของฮอร์โมนสำหรับผู้ที่รับประทานยาคุมกำเนิดผู้ที่ตั้งครรภ์หรือผู้ที่เข้าสู่ช่วงหมดประจำเดือนสามารถส่งผลให้การสร้างเม็ดสีของร่างกายมีความผิดปกติได้จนนำไปสู่ปัญหาฝ้า และฮอร์โมน ซึ่งบางรายอาจมีปัญหาสิวอีกด้วย หรือที่เรียกกันว่า "สิวฮอร์โมน" ยาบางชนิดสามารถส่งผลกระทบต่อร่างกายและทำให้เกิดฝ้าได้ เช่น ยาคุมกำเนิด ซึ่งส่งผลต่อฮอร์โมนในร่างกายอันเป็นปัจจัยหนึ่งในการกระตุ้นให้มีการผลิตเม็ดสี หรือยากันชักบางตัวซึ่งพบว่าผู้ที่ใช้ยาชนิดดังกล่าวมักมีฝ้าเกิดที่กรอบหน้า


4. ผลข้างเคียงจากโรคอื่นๆ

โรคประจำตัวหรืออาการป่วยบางชนิดที่ส่งผลต่อฮอร์โมน รวมไปถึงการใช้ยาที่ส่งผลกระทบต่อฮอร์โมน เช่นโรคที่เกี่ยวกับระบบต่อมไร้ท่อต่างๆ


𝐒𝐓𝐂 𝐂𝐥𝐢𝐧𝐢𝐜 "𝐘𝐨𝐮𝐫 𝐏𝐞𝐫𝐬𝐨𝐧𝐚𝐥𝐢𝐳𝐞𝐝 𝐇𝐞𝐚𝐥𝐭𝐡 𝐂𝐨𝐧𝐬𝐮𝐥𝐭𝐚𝐧𝐭"

ปรึกษา หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

Tel: 093 809 6721

Instragram: STC_Clinic

LINE OA :@YourSTC ( มี@ด้านหน้า)


#stcclinic #rejuran #reju #Meso #Mesoหน้าใส #mesotherapy #ผิวใส #หน้าฉ่ำวาว #ผิวสวย #เรจูรัน #เมโส #หน้าใส #ความงาม #ฝ้า #กระ

ศาสตร์ ‘กลิ่นบำบัด’ หรือ Aroma therapy ได้รับความนิยมอย่างยิ่งในช่วงนี้ เพราะการกลิ่นนั้นทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายจากปัญหาต่างๆที่เจอในแต่ละวัน จากความเหนื่อยล้า ทำให้ทั้งร่างกายและจิตใจของเรารู้สึกดี แล้วกลิ่นไหนที่จะบำบัดความเครียดของเราได้ดีกันนะ วันนี้ LBM Health Care นำความรู้เกี่ยวกับกลิ่นที่ช่วยให้เราผ่อนคลายมาฝาก


  1. กลิ่นสะระแหน่ หรือมินต์ เป็นกลิ่นที่มีความหอมเย็น จึงช่วยให้ร่างกายตื่นตัวและเย็นสดชื่น อีกทั้งยังช่วยลดความรู้สึกเครียด ช่วยคืนความสดชื่น และที่สำคัญก็คือช่วยระงับอาการปวดศีรษะ ไมเกรน คลายความอ่อนล้า และกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต บรรเทาอาการคลื่นไส้และวิงเวียนเมา

  2. กลิ่นลาเวนเดอร์ ถือเป็นกลิ่นแรกๆ ที่ถูกนำมาใช้บำบัดและผ่อนคลายความเครียดมากที่สุด นอกจากนี้ยังช่วยให้รู้สึกสดชื่น บรรเทาอาการปวดศีรษะ ไมเกรน และความเหนื่อยล้าของสมองให้หลับสบายมากขึ้น อีกทั้งยังปรับสมดุลของจิตใจ ให้กลับมามีสมาธิจดจ่อมากขึ้น

  3. กลิ่นผลไม้ตระกูลซีตรัส หรือผลไม้ตระกูลมะนาว ไม่ว่าจะเป็นส้ม มะนาว เลม่อน ฯลฯ เป็นกลิ่นที่ช่วยเพิ่มความรู้สึกกระปรี้กระเปร่า สดชื่นมากขึ้น นอกจากนี้กลิ่นของมะนาว ยังสามารถช่วยลดความเครียด และส่งผลดีต่ออารมณ์ด้านอารมณ์

  4. กลิ่นกุหลาบ ช่วยทำให้ผ่อนคลาย บรรเทาอาการวิงเวียน ปวดศีรษะ บรรเทาอาการอ่อนเพลีย และช่วยทำให้สดชื่นมีชีวิตชีวา และที่สำคัญที่สุดช่วยลดความเครียด ความวิตกกังวลได้

  5. กลิ่นกระดังงา ช่วยให้จิตใจสงบได้มากขึ้น ส่วนคนที่มีปัญหานอนหลับยาก หรือนอนไม่หลับ การใช้กลิ่นบำบัดด้วยดอกกระดังงาก็จะช่วยให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น และช่วยลดอาการซึมเศร้าได้อีกด้วย

  6. กลิ่นโรสแมรี่ ช่วยกระตุ้นให้เรารู้สึกสดชื่น ตื่นตัวอยู่เสมอ ช่วยให้สมองปลอดโปร่ง ลดอาการปวดศีรษะ และลดภาวะความเครียดสะสมได้เป็นอย่างดี

  7. กลิ่นวานิลลา มีฤทธิ์ต่อระบบประสาท ช่วยคลายความเครียด ทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกับ "LBM Health Care" ได้ที่

Tel: 02-114-7635

Facebook: LBMHealthcare

Line shop: LBMHealthcare

Booda best: LBMHealthcare




Line: @lbmhealthcare

#สาระน่ารู้จากLBMhealthcare

#7กลิ่นบำบัดความเครียด

#ชะลอวัย #ต่อต้านแบคทีเรีย

#น้ำผึ้ง #ผิวสวย

#ความงาม #ฟื้นฟูผิว

#ดูแลผิว #บำรุงผิว

#ผ่อนคลายความเครียด #บำบัด

ผึ้งคือสิ่งมหัศจรรย์ เพราะผึ้งสามารถสร้างน้ำผึ้งให้เป็นสารอาหารสุดเลิศที่ได้จากธรรมชาติ ซึ่งประโยชน์ของน้ำผึ้งนั้นมีหลากหลาย ในวันนี้ทางเราจึงขอหยิบคุณสมบัติเด่นๆของ "น้ำผึ้งกับการต่อต้านแบคทีเรีย" มาเล่าให้ฟังกัน !!!!


โดยทั่วไปแล้วน้ำผึ้งเป็นน้ำหวานที่ได้จากดอกไม้ ซึ่งน้ำหวานที่ได้จากดอกไม้ เต็มไปด้วยน้ำตาลซูโครส กลูโคส และฟรักโตส โดยในระหว่างที่ผึ้งกำลังสะสมน้ำหวานไว้ในกระเพาะ ผึ้งก็จะทำการปล่อยเอนไซม์ตัวหนึ่งที่ชื่อว่า Invertase ซึ่งตัวเอนไซม์ชนิดนี้ ทำหน้าที่เปลี่ยนน้ำตาลซูโครสเป็นน้ำตากลูโคสและฟรักโทส เจ้าตัวกลูโคสจะเกิดปฏิกิริยา Glucose Oxidase เปลี่ยนกลูโคสให้เป็นกรดกลูโคนิคและไฮโดรเจนเปอร์ออกไซต์ (Hydrogen Peroxide)

โดยตัว "กรดกลูโคนิค" จะทำให้น้ำผึ้งมีความเป็นกรดเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นสภาวะที่ไม่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ในขณะเดียวกัน “ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (Hydrogen Peroxide)” สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตและต่อต้านแบคทีเรียได้ โดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อ แถมยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันผิวจากรังสียูวี ช่วยเสริมสร้างเซลล์ผิวใหม่ได้อีกด้วย ทางการแพทย์จึงนิยมนำน้ำผึ้งไปใช้ประโยชน์ในการรักษาโรคผิวหนัง ชะลอวัย ช่วยให้ผิวเต่งตึง ทำให้เกิดรอยเหี่ยวย่นได้ช้าลง นอกจากนี้ยังสามารถนำมาเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางค์ และครีมบำรุงผิว ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิว ทำให้ผิวอ่อนนุ่มขึ้น


สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกับ "LBM Health Care" ได้ที่

Tel: 02-114-7635

Facebook: LBMHealthcare

Line shop: LBMHealthcare

Booda best: LBMHealthcare




Line: @lbmhealthcare

#สาระน่ารู้จากLBMhealthcare

#แค่นอนหลับตื่นมาก็ผิวสวยได้เลย

#ชะลอวัย #ต่อต้านแบคทีเรีย

#น้ำผึ้ง #ผิวสวย

#ความงาม #ฟื้นฟูผิว

#ดูแลผิว #บำรุงผิว


Contact Us

  • Instagram
  • Facebook
  • TikTok
LBM.jpg
LIFE.jpg
lab.jpg
AABB.png
ISCT.jpg
ISO.png
bottom of page